กระดาษแผ่นแรกของโลก


กระดาษปาปิรุส(Papyrus)


      ว่าไปกันแล้วกระดาษเป็นวัสดุที่ถูกสร้างมาเพื่อใช้ในการบันทึก  มีประวัติศาสตร์เล่าไว้ว่าได้มีการใช้กระดาษครั้งแรกโดยชาวอียิปต์โบราณ และชาวจีน กระดาษในภาษาไทยไม่ปรากฏที่มาอย่างแน่ชัด มีผู้สันนิษฐานว่าน่าจะทับศัพท์มาจากภาษาโปรตุเกสว่า kratus แต่ความจริงแล้ว คำว่ากระดาษ ในภาษาโปรตุเกสใช้ว่า papel ส่วนที่ใกล้เคียงภาษาไทยมากที่สุด น่าจะเป็นคำศัพท์ในภาษามลายู นั่นก็คือ kertas หมายถึง กระดาษ เช่นกัน




      กระดาษแผ่นแรกของโลกผลิตโดยชาวอียิปต์โบราณ ผลิตจากหญ้าที่เรียกว่า"ปาปิรุส" และเรียกว่ากระดาษปาปิรุส มีการพบว่ามีการใช้จารึกพวกบทสวด คำสรรเสริญเทพเจ้าแล้วก็คำสาบานบรรจุไว้ในพีระมิดของอียิปต์ นักประวัติศาสตร์เชื่อว่ามีการใช้กระดาษปาปิรุส เมื่อ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล ว้าววว....!!!

      กระดาษปาปิรุสเป็นกระดาษชนิดแรกของโลกที่ทำมาจากต้นกก  กระดาษปาปิรุสมีความยืดหยุ่นและคงต่อสภาพอากาศอันแห้งแล้งของอียิปต์ได้ดี  อียิปต์ใช้บันทึกข้อความสรรเสริญเทพเจ้าและเหตุการณ์ต่างๆในสมัยอียิปต์ โบราณ ว่ากันว่าได้มีการประดิษฐ์อักษรลงบรกระดาษปาปิรุสที่เรียกกันว่า ตัวอักษรฮีโรกราฟฟิก หรือที่เพื่อนๆ พี่ๆรู้จักกัน คือ อักษรภาพของชาวอียิปต์น่ะเอง




     วิธีการสร้างกระดาษปาปิรัส ทำโดยการเฉือนต้นปาปิรัสบางๆตามแนวยาวแล้วนำไปตากแดด นำลำเลียงของลำต้นจะทำให้เยื่อไม้ติดกันเป็นแผ่น ส่วนขนาดก็จะขึ้นอยู่กับจำนวนแผ่นของลำต้น เมื่อแสร็จแล้วก็ม้วนเก็บไว้ได้
 
 
 
     เสียดายที่นักโบราณคดีไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้ว่ากระดาษปาปิรุสนี้มีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เท่าที่มีอยู่ทราบเพียงว่า ปาปิรุสได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง เช่น นำมาเป็นเชื้อเพลิง สร้างบ้าน ต่อเรือ สานตะกร้า ตลอดจนตัดเย็บเสื้อผ้าโดยเฉพาะศิลปหัตถกรรมที่ทำกระดาษจากต้นปาปิรุสนี้ถือเป็นความลับสุดยอดก็ว่าได้ เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดของเจ้าหน้าที่ซึ่งองค์ฟาโรห์ทรงแต่งตั้ง ทำเป็นอุตสาหกรรมกันเลยทีเดียว ชาวบ้านจึงเรียกว่า ปะ - ปี๋ - ร่า ( Pa - Pe - Raa) หมายถึงกิจการที่เป็นขององค์ฟาโรห์ แต่ชาวกรีกโบราณออกเสียงเพี้ยนเป็นปาปิรัส แล้วคำคำนี้แหละ ก็แผลงมาเป็น "เปเปอร์ ( Paper"หรือกระดาษในปัจจุบันนี่เอง



ขอขอบคุณ  http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=49829
         http://www.thaimuslim.com/overview.php?c=3&id=8608

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • Twitter
  • RSS

เลเซอร์ลำแรกของโลก

ห้องปฏิบัติการทดลองเลเซอร์ของกองทัพสหรัฐฯ

     ย้อนเหตุการณ์ก่อนกำเนิด “เลเซอร์ที่อุบัติขึ้นบนโลกในวันที่ 16 พ.ค. เมื่อ 50 ปีที่ผ่านมา สู่การประยุกต์ใช้ในรูปแบบนวัตกรรมต่างๆ โดยเอเอฟพี ดังนี้
       

       
1917 - อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) เสนอทฤษฎี การปลดปล่อยแบบกระตุ้นโดยโฟตอนหรืออนุภาคแสง ซึ่งเหนี่ยวนำให้อะตอมปลดปล่อยโฟตอนเหมือนกันออกมา
     
       
1956 –
ซี.เอช. ทาวน์ส (C.H. Townes) เป็นผู้ที่คิดค้นเลเซอร์ โดยเขาได้เสนอทฤษฎีเลเซอร์ไว้  และต่อมาในปี ค.ศ. 1964 เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์จากทฤษฎีนี้
     
       
1957 – กอร์ดอน กูล์ด (Gordon Gould) นักศึกษาปริญญาเอก ในที่ปรึกษาของทาวน์ส เป็นผู้คิดคำว่าเลเซอร์” (laser) ทฤษฎีที่อธิบายว่า สามารถใช้แสงกระตุ้นอะตอมให้สร้างลำแสงที่มีความต่อเนื่องกันได้ ภายหลังได้ยื่นขอสิทธิบัตรซึ่งมีการถกเถียงทางด้านกฎหมายเมื่อเกือบๆ 3 ทศวรรษก่อน
     
       
1960 – เลเซอร์ลำแรกที่ถูกสร้างขึ้นโดย ธีโอดอร์ ไมแมน (Theodore Maiman) จากห้องปฏิบัติการวิจัยฮัวจ์ส (Hughes Research Laboratories) ในแคลิฟอร์เนีย สามารถใช้งานได้


 








ขอขอบคุณ  http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9530000066800
         http://www.google.com

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • Twitter
  • RSS

โทรทัศน์เครื่องแรกของโลก 2


     เรื่องเกี่ยวกับโทรทัศน์เครื่องแรกของโลกนี้ จากที่เราได้หาข้อมูลมาก็ได้พบว่ามีอยู่ 2 บุคคล 2 เรื่องราวที่บอกว่าเป็นผู้คิดค้นโทรทัศน์เครื่องแรก จึงได้นำมาให้อ่านกันทั้ง 2 เรื่อง แต่จากที่ดูปีที่คิดค้นสำเร็จแล้ว จอห์น โลจี แบร์ต ถือว่าสำเร็จก่อน หากท่านใดมีความรู้ในด้านนี้ช่วยชี้ความกระจ่างให้ด้วยนะคะ

     จากบันทึกใน Television Technology Demystified ได้ระบุว่าการเริ่มต้นของโทรทัศน์เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1873(พ.ศ.๒๔๑๖) จากการที่ลีโอนาร์เมย์ (Leonard May) พนักงานโทรเลขชาวไอริช ได้ค้นพบสารเซเลเนียมที่มีคุณสมบัติในการเปลี่ยนพลังงานแสงให้เป็นพลังงานไฟฟ้า ทำให้เกิดความคิดในการเปลี่ยนสัญญาณภาพให้เป็นสัญญาณทางไฟฟ้า 

     ต่อมาในปี ค.ศ.1884(พ.ศ.๒๔๒๗) พอล นิพโค (Paul Nipkow) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ได้คิดค้นหลักการสแกนภาพที่ใช้ระบบจานหมุนแบบกลไกเป็นครั้งแรก 

     ต่อมาในปี ค.ศ.1991(พ.ศ.๒๔๕๔) แคมเบลล์ สวินโตน (Campbell Swinton) ได้นำหลอดรังสีแคโทดมาใช้ในการรับส่งภาพ ของการสแกนภาพแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งได้กลายเป็นแนวความคิดให้ วลาดิเมอร์ ซวอรีคีน (Vladimir Zworykin) ประดิษฐ์หลอดส่งภาพหรือไอโคโนสโคฟ (iconoscope) ซึ่งทำหน้าที่เก็บรูป และสแกนรูปไว้เป็นสัญญาณไฟฟ้าหลายๆเส้น ในปี พ.ศ.๒๔๖๖ 

     และในปี พ.ศ.๒๔๖๗ วลาดิเมอร์ ซวอรีคีน ได้ประดิษฐ์หลอดรับภาพ (kinescope) ซึ่งทำหน้าที่นำสัญญาณไฟฟ้าที่ได้จาก iconoscope มายิงบนจอเรืองแสงที่มีตำแหน่งสอดคล้องกัน 

    สำหรับโทรทัศน์ภาพต้องมีการเคลื่อนไหว เราได้อ่านวิธีการทำให้เห็นภาพเคลื่อนไหวในภาพยนตร์ที่ฉายบนจอ โดยการฉายภาพหลายๆภาพติดต่อกันให้มีความเร็วพอที่ตามนุษย์จะมองไม่เห็นรอย ต่อระหว่างภาพทำให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นภาพต่อเนื่อง ในโทรทัศน์ก็ใช้วิธีเดียวกันนั้น แต่มีปัญหาที่ว่าต้องกวาดภาพไป และเปลี่ยนให้เป็นกระแสไฟฟ้า เปลี่ยนสัญญาณและเปลี่ยนกลับเป็นภาพซึ่งต้องทำให้ได้ 20 ภาพต่อวินาที เพื่อให้เห็นภาพการเคลื่อนไหวนั้นต่อเนื่องกัน



     จอห์น โลจี แบร์ต ทำงานในห้องนอน เขาสร้างเครื่องโทรทัศน์เป็นเครื่องแรกในปี ค.ศ. 1925 และกวาดภาพด้วยจานใบหนึ่งซึ่งเขาเจาะรูหลายๆรู แล้วหมุนจานอย่างเร็วบนแกนซึ่งใช้เข็มถักไหมพรม เขาฉายแสงไปบนจานที่หมุนทำให้ส่องภาพไปตามลำดับและเปลี่ยนแสงเหล่านั้น ให้เป็นกระแสไฟฟ้าซึ่งจะถูกเปลี่ยนกลับให้เป็นภาพในเครื่องรับสัญญาณวางอยู่ ห่างจากเครื่องส่งเพียง 1 เมตรกว่า

     หลังจากการทำงานนี้ไม่นานเขาก็เดินทางไปร้านเซลฟริดจ์ในลอนดอนแล้วสาธิตให้ เจ้าของชม ในปี ค.ศ. 1925 เจ้าของร้านทำสัญญาจ้างให้เขาออกโทรทัศน์วันละ 3 รายการในร้าน ภาพที่เห็นไม่ชัดนัก แต่เครื่องก็ทำงานได้ และประชาชนให้ความสนใจ ในปีต่อมาเขาสาธิตให้หนังสือพิมพ์ชม จากนั้นเขาไปยัง บีบีซี และถึงแม้ว่าภาพของเขาจะไม่ชัดเจน แต่บีบีซีก็ให้กำลังใจสนับสนุน

     และในปี ค.ศ. 1928 จอห์น โลจี แบร์ต (John Logie Baird) ได้นำแผ่นกรองสีมาแยกสัญญาณสีได้สำเร็จโดยใช้จานหมุนแยกสีในการแยกสัญญาณออกเป็นสีพื้นฐานสามสีคือ แดง เขียว และน้ำเงิน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นต้น แบหลักการและเทคนิคพื้นฐานต่างๆเพื่อใช้สำหรับการแปลงภาพไปมากับสัญญาณภาพที่ได้โดยได้นำไปสร้างเป็นระบบโทรทัศน์ต่อมา

     ในปี ค.ศ. 1929 มีรายการโทรทัศน์ของบีบีซีส่งออกอากาศ และเริ่มมีการสร้างเครื่องรับโทรทัศน์ ในปี ค.ศ. 1930 เริ่มมีเสียง และเริ่มถ่ายทอดการแสดงละครทางโทรทัศน์ ในปีต่อมาได้มีการถ่ายทอดการแข่งม้าเดอร์บี้ทางโทรทัศน์ในกรุงลอนดอน
                      


ขอขอบคุณ http://www.thaitelecomkm.org/TTE/topic/attach/Television_Broadcasting/index.php

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • Twitter
  • RSS

โทรทัศน์เครื่องแรกของโลก

     เรื่องเกี่ยวกับโทรทัศน์เครื่องแรกของโลกนี้ จากที่เราได้หาข้อมูลมาก็ได้พบว่ามีอยู่ 2 บุคคล 2 เรื่องราวที่บอกว่าเป็นผู้คิดค้นโทรทัศน์เครื่องแรก จึงได้นำมาให้อ่านกันทั้ง 2 เรื่อง  แต่จากที่ดูปีที่คิดค้นสำเร็จแล้ว จอห์น โลจี แบร์ต ถือว่าสำเร็จก่อน หากท่านใดมีความรู้ในด้านนี้ช่วยชี้ความกระจ่างให้ด้วยนะคะ


  


 ฟีโล เทย์เลอร์ ฟาร์นสเวิร์ธ.


เอลมา ฟาร์นสเวิร์ธ ผู้หญิงคนแรกบนจอโทรทัศน์
"โทรทัศน์"
ถือกำเนิดมาเมื่อ 79 ปีก่อนแล้วก็กลายเป็นหนึ่งในสื่อที่ทรงอิทธิพลสูงสุดต่อการเปลี่ยนแปลงวิถี ชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่วันแรกที่ถือกำเนิดมาตราบจนกระทั่งถึงทุกวันนี้



ผู้ที่คิดค้นโทรทัศน์เครื่องแรกของโลกคือ ฟีโล เทย์เลอร์ ฟาร์นสเวิร์ธ ชาวอเมริกัน ส่วน เอลมา การ์ดเนอร์ ฟาร์นสเวิร์ธ นั้นเป็นภรรยาของนักประดิษฐ์คิดค้นผู้นี้ ที่ผู้เป็นสามีให้เครดิตว่าเป็นทั้งผู้ผลักดัน และต่อสู้กับสิทธิในการคิดค้น จนสามารถเรียกได้ว่า "เป็นผู้ร่วมคิดค้นโทรทัศน์" เครื่องแรกของโลกร่วมกับเขา

ฟี โล ฟาร์นสเวิร์ธ เสียชีวิตไปเมื่อ ปี 2514 ส่วน เอลมา เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคมที่ผ่านมาด้วยวัย 98 ปี ข้อเขียนชิ้นนี้จึงเป็นเสมือนการรำลึกถึงบุคคลทั้งสองในฐานะนักประดิษฐ์ที่ ยิ่งใหญ่ที่สุดผู้หนึ่งของศตวรรษที่ผ่านมา ตามคำยกย่องของ "ไทม์" นิตยสารรายสัปดาห์ระดับโลกของสหรัฐอเมริกา

เอ ลมา ซึ่งแต่งงานกับ ฟีโล ที่เธอเรียกว่า "ฟิล" เมื่อปี 2469 ทั้งคู่ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กันในห้องทดลองที่เขต ฟอร์ต เวย์น นครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา 1 ปีให้หลัง วันที่ 7 กันยายน 2470 เมื่อฟิล ซึ่งขณะนั้นอายุเพียง 21 ปี สามารถส่งสัญญานภาพในรูปของเส้นหลายๆ เส้นจากเครื่องส่งที่คิดค้นขึ้นในห้องหนึ่งไปยังเครื่องรับที่อยู่ในห้องถัดไปได้สำเร็จ
"นี่ไงล่ะของคุณโทรทัศน์อีเลคทริค (electrica television)!" คือคำอุทานของ ฟิล กับภรรยาในเวลานั้น


ฟีโล ฟาร์นสเวิร์ธ กับเครื่องส่งโทรทัศน์ยุคแรกๆ
เอ ลมา เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า แนวความคิดเรื่องการส่งสัญญาณภาพเป็นเส้นไปยังเครื่องรับนั้น เกิดขึ้นในห้วงความคิดของ ฟีโล ฟาร์นสเวิร์ธ ก่อนหน้าที่จะคิดค้นได้สำเร็จถึง 7 ปี ตอนนั้นเขายังอายุแค่ 14 ปี เป็นนักเรียนมัธยมที่ต้องขี่ม้าไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนที่ใกล้ที่สุดซึ่ง อยู่ห่างจากไร่ของตนเองไปถึงราว 7 กิโลเมตร

เขากำลังไถร่อง เป็นแนวยาวในไร่เพื่อใช้ปลูกมันฝรั่ง ความคิดวาบขึ้นในสมองของเขาว่าเขาสามารถใช้เส้นแนวนอนทำนองเดียวกันนี้ไป สร้างภาพขึ้นบนหลอดเครื่องรับด้วยวิธีการเดียวกันกับการไถ่ร่องมันฝรั่งนั่น เอง



การสาธิตการรับ-ส่งโทรทัศน์ในยุคแรกๆ
ส่วน แนวความคิดในการสร้างหลอดสำหรับส่งสัญญาณนั้นเขาคิดได้ตั้งแต่เรียนมัธยม และเขียนเป็นแบบไว้ให้กับ จัสติน โทลแมน ครูสอนวิชาเคมีของเขา ซึ่งฟิลยกย่องว่าเป็นผู้ให้ความรู้ที่จำเป็นและเป็นแรงบันดาลใจให้การคิดค้น ของตนสำเร็จได้

ภาพของมนุษย์ภาพแรกสุดที่ ฟิล ฟาร์นสเวิร์ธ ส่งเป็นสัญญาณโทรทัศน์ไปยังเครื่องรับเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2472 คือ ภาพของ เอลมา กับ คลิฟฟ์ การ์ดเนอร์ น้องชายของเธอ ดังนั้น นอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ร่วมคิดค้นโทรทัศน์เป็นเครื่องแรกของโลกแล้ว เอลมา ยังได้ชื่อว่าเป็น "ผู้หญิงคนแรกที่ปรากฏตัวในโทรทัศน์" อีกด้วย



(ซ้าย) โทรทัศน์ขนาด 10 นิ้ว พร้อมวิทยุเอเอ็ม-เอฟเอ็มยี่ห้อฟาร์นสเวิร์ธ ปี 2491 (ขวา) โทรทัศน์ 10 นิ้ว ยี่ห้อฟาร์นสเวิร์ธ ปี 2491
แต่เครดิตในฐานะผู้คิดค้นโทรทัศน์เกือบจะไม่ตกเป็นของสองสามีภรรยา ฟาร์นสเวิร์ธ อย่างที่ควรจะเป็น เมื่อบริษัท อาร์ซีเอ (เรดิโอ คอร์ปอเรชั่น ออฟ อเมริกา) อ้างว่า โทรทัศน์นั้นคิดค้นโดย วลาดิเมียร์ ซวอรีกิน หัวหน้าแผนกวิศวกรรมโทรทัศน์ของบริษัท เอลมาต่อสู้อย่างดุเดือดในศาล กระทั่งในปี 2478 ศาลจึงตัดสินเป็นที่สุดให้ยกสิทธิบัตรนี้ให้กับฟาร์นสเวิร์ธ 

แม้ว่าเขาจะชนะคดี เป็นผู้ได้สิทธิบัตรโทรทัศน์ และได้เงินมาจำนวนหนึ่ง แต่ระหว่างการสู้คดี เขาก็เสียโอกาส และเสียสิทธิในสิ่งประดิษฐ์ที่เกี่ยวกับโทรทัศน์อีกหลายอย่าง ทำให้ในที่สุดแล้ว แม้ ฟาร์นสเวิร์ธ นักประดิษฐ์ ได้รับการยกย่องจากนิตยสารไทมส์ให้เป็น 1 ใน 100 บุคคลผู้มีความสำคัญในศตวรรษ ในฐานะผู้คิดค้นนวัตกรรมที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งในโลก แต่เขาก็ไม่เคยสร้างความร่ำรวยได้จากมันเลย

ประเด็น ที่น่าสนใจเกี่ยวกับนักประดิษฐ์คนสำคัญผู้นี้ก็คือ ในราวปี 2500 ในยุคที่โทรทัศน์ยุคแรกออกอากาศแล้ว ฟีโล ฟาร์นสเวิร์ธ กลับไม่ชื่นชอบกับสิ่งที่ปรากฏอยู่บนจอของสิ่งประดิษฐ์ของเขามากนัก เขาเคยบอกในระหว่างการออกอากาศทางโทรทัศน์แบบไม่เปิดเผยตัว (ใช้ชื่อ ดร.เอ็กซ์) ว่า เขาเคยคิดค้นสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดให้ตัวเองอย่างถึงที่สุดมาแล้ว



เครื่องรับโทรทัศน์ของฟาร์นสเวิร์ธในปี 2490
เคนต์ บุตรชายของ ฟิล อธิบายถึงความรู้สึกของผู้เป็นบิดาไว้ว่า "พ่อรู้สึกเหมือนกับว่าได้สร้างปีศาจร้ายตัวหนึ่งขึ้นมา สร้างวิถีที่ทำให้คนเราต้องสูญเสียเวลามหาศาลของชีวิตไปกับมัน"
เขาเล่าด้วยว่าตลอดเวลาที่ยังเป็นเด็กนั้น ผู้เป็นบิดามักบอกเสมอว่า "ไม่มีอะไรมีคุณค่าเลยในโทรทัศน์ เราต้องไม่เอามันเข้าบ้าน และฉันไม่ต้องการให้มันเข้ามาอยู่ในหัวสมองของแกด้วย"

นีล โพสต์แมน ศาสตราจารย์วิชา นิเวศวิทยาของสื่อ ในมหาวิทยาลัยแห่งนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาสรุปเอาไว้น่าฟังว่า

ฟิโล เทย์เลอร์ ฟาร์นสเวิร์ธ นอกจากจะเป็นคนแรกที่สร้างโทรทัศน์ขึ้นมาแล้ว ยังเป็นนักวิจารณ์รายการโทรทัศน์คนแรกๆ ของโลกอีกด้วย 



ฟาร์นสเวิร์ธกับกล้องถ่ายโทรทัศน์.


ฟาร์นสเวิร์ธกำลังดูแลการบันทึกภาพ.




ขอขอบคุณ  http://www.artsmen.net/content/show.php?Category=newsboard&No=04226
         http://www.google.com

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • Twitter
  • RSS

วิทยุเครื่องแรกของโลก

 กำเนิดวิทยุของโลก มีความเป็นมาตามลำดับต่อไปนี้ 

  •  วิทยุโทรเลข ( Telegraph) การส่งข้อความผ่านสายด้วยรหัส ที่เป็นเส้น และ จุด “รหัสมอส” โดย แซมมอล มอส ทำอย่างไรให้ส่งได้เร็วขึ้น และ ไม่ต้องแปลงรหัสเป็นภาษาปกติ “ ส่งสัญญาณวิทยุในอากาศ” 
  • พ.ศ. 2408 เจมส์ คลาก แมกซ์เวล (James Clerk Maxwell) นักคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ชาวสก็อต พบว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเคลื่อนที่ได้เร็วเท่าคลื่นแสง และสามารถส่งสัญญาณในอากาศได้ ไม่ต้องใช้สาย
  • พ.ศ. 2430 เฮนริช รูดอล์ฟ เฮิรตซ์ (Henrich Rudolf Hertz) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ส่งและรับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคนแรกของโลก ด้วยเครื่อง ออสซิเลเตอร์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า นั่นคือ เฮิร์ตเซียน ( Hertzian Wave เรียกง่ายๆว่า คลื่น Hertz หรือย่อว่า Hz)
  • พ.ศ. 2444 กูลิเอลโม มาร์โคนี (Guglielmo marconi) ชาวอิตาลี สามารถส่งคลื่นวิทยุโทรเลขข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ระยะทางกว่า 2,000 ไมล์ การส่งวิทยุระยะแรกเป็นการส่งวิทยุโทรเลข ยังไม่สามารถส่งสัญญาณที่เป็นเสียงพูดได้ จนกระทั้ง พ.ศ. 2449 จึงสามารถส่งสัญญาณเสียงพูดได้โดยการพัฒนาของศาตราจารย์ เรจินัลต์ เอ. เพสเสนเดน (Riginald A. Fessenden) และลีเดอฟอเรส (Lee de Forest) ชาวอเมริกันทำได้สำเร็จในปี พ.ศ. 2451 ซึ่งเป็นการส่งเสียงพูดจากเครื่องส่งไปยังเครื่องรับเครื่องหนึ่งในระยะไกล เรียกว่า วิทยุโทรศัพท์ (Radio Telephony) สถานีวิทยุกระจายเสียงที่ออกอากาศครั้งแรกของโลกคือ สถานี KCBS ในซานฟรานซิโก สหรัฐอเมริกา เริ่มออกอากาศรายการประจำให้คนทั่วไปรับฟังเมื่อ พ.ศ. 2453  เขาได้รับยกย่องเป็น “บิดาแห่งวงการวิทยุ”




ขอขอบคุณ  http://www.panyathai.or.th
         http://www.google.com

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • Twitter
  • RSS

ระบบวิทยุ FM ครั้งแรกของโลก


การฟังวิทยุนี่เอง ที่ทำให้นึกถึงคนคนหนึ่ง ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมวิทยุของโลก ชื่อของเขาคือ เอ็ดวิน โฮเวิร์ด อาร์มสตรองค่ะ


เอ็ดวิน โฮเวิร์ด อาร์มสตรอง.

อาร์ม สตรองเป็นวิศวกรไฟฟ้าชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องปรับความถี่วิทยุขึ้น ใน ค.ศ.1929 เจ้าเครื่องนี้พูดกันง่ายๆก็คือ ระบบวิทยุ เอฟเอ็มนั่นเอง

ก่อน หน้าที่จะคิดประดิษฐ์วิทยุเอฟเอ็ม ผู้คนก็ยังคงฟังแต่วิทยุเอเอ็ม ที่ให้คุณภาพเสียงในระดับหนึ่ง แต่เอฟเอ็มก็เหมือนเป็นการเปิดทางเดินใหม่ ให้วงการวิทยุ ด้วยคุณภาพเสียงที่ดีกว่า และหลังจากประดิษฐ์ได้แล้ว อาร์มสตรองก็ยื่นขอจดสิทธิบัตร และได้รับการคุ้มครองสิทธินี้เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ.1933

อาร์มสตรองหวังให้สิ่งประดิษฐ์ใหม่ถูกเผย แพร่ในวงกว้าง ก็เลยตัดสินใจเข้าไปขอสาธิตเทคโนโลยีนี้ให้ยักษ์ใหญ่ในวงการสื่อสารของ สหรัฐฯ คือ เรดิโอ คอร์ปอเรชั่น ออฟ อเมริกา หรืออาร์ซีเอ ได้ชมในปีถัดจากที่ได้ สิทธิบัตร โดยหวังว่าอาร์ซีเอ จะซื้อแนวคิดนี้ไปทำเป็นธุรกิจ แต่ก็เหลวค่ะ บริษัทไม่ยอมควักกระเป๋าซื้อเทคโนโลยีนี้ เพราะยังให้ความสนใจกับเรื่องของเอเอ็ม และเทคโนโลยีโทรทัศน์มากกว่า

ห้องทดลองระบบวิทยุของอาร์มสตรอง.

แต่ อาร์มสตรองก็ไม่ท้อ อีก 2 ปีต่อมา เขาเสนอขอสาธิตเอฟเอ็มอีกครั้ง คราวนี้เป็นการสาธิต ให้คณะกรรมาธิการการสื่อสารของสหรัฐฯฟัง โดยมีการอัดเสียงการเล่นดนตรีแจ๊สผ่านระบบเอเอ็ม แล้วย้อนมาเปิดให้ฟังด้วยระบบเอฟเอ็ม ทำเอาผู้ฟังที่เป็นวิศวกร 50 คน ถึงกับเคลิ้ม แล้วบอกว่า ถ้าหลับตาฟังโดยไม่คิดว่ามีเจ้าเครื่องเอฟเอ็มอยู่ตรงหน้าล่ะก็เป็นได้คิด ว่ากำลังฟังการแสดงดนตรีสดๆในห้องนั้นเป็นแน่ แต่ถึงขนาดนี้แล้ว อาร์มสตรองก็ยังไม่สามารถทำเงินจากสิ่งประดิษฐ์ใหม่นี้ได้เลย

ว่า แล้ว หลังจากคิดสะระตะว่า ไม่มีใครเอาด้วย พ่อหนุ่มก็ตัดสินใจสร้างสถานีวิทยุเอฟเอ็มเป็นของตัวเองเสียเลย ในปี 1937 จากห้องส่งในเมืองอัลไพน์ รัฐนิวเจอร์ซี คลื่นวิทยุเสียงชัดแจ๋วของอาร์มสตรองสามารถกระจายเสียงให้ได้ยินไปไกลกว่า 100 ไมล์ ที่สำคัญใช้พลังงานน้อยกว่าสถานีวิทยุเอเอ็มเยอะ แต่ตอนนี้เอง ที่มี "มือมืด" ในวงการสื่อสารเข้ามาทำให้เกิดความปั่นป่วน จนเกิดการอนุมัติยกคลื่นความถี่เดิมที่อาร์มสตรองใช้อยู่ให้อาร์ซีเอไป ทำเอาหนุ่มเอฟเอ็มที่ต้องถูกย้ายคลื่นความถี่ออกอาการเป๋

เท่านั้น ยังไม่พอ อาร์ซีเอได้ผลิตวิทยุเอฟเอ็มของตัวเองบ้าง และยังไปขอสิทธิบัตรการประดิษฐ์จนได้รับการคุ้มครองด้วยอีกรายหนึ่ง ทำให้ อาร์มสตรองไม่มีสิทธิ์ได้ ค่าตอบแทนจากความคิดของเขา แม้จะยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ ก็ยังแพ้คดีเสียอีก

ความ พ่ายแพ้ และเงินจำนวนมากที่ต้องใช้ไปในการสู้คดี ทำเอาอาร์มสตรองหัวใจสลาย เขาไม่มีเงินเหลือเลยซักเก๊ ความผิดหวังอย่างรุนแรง ทำให้อัจฉริยะคนหนึ่งของโลกตัดสินใจชั่ววูบด้วยการกระโดดตึกลงมาจากชั้น 13 ของอพาร์ตเมนต์ในนิวยอร์ก เมื่อ 31 มกราคม 1954 ปิดฉากชีวิต และการต่อสู้อันยาวนาน เหลือทิ้งไว้ เพียงแนวคิดของวิทยุเอฟเอ็มที่ยังส่งเสียงจรรโลงโลกอยู่ถึงทุกวันนี้

ในปี 1947 เอ็ดวิน โฮเวิร์ด อาร์มสตรอง กลับมาที่ห้องของเขาในวัยเด็ก  ที่ซึ่งเขาได้คิดค้นสิ่งประดิษฐ์ต่างๆสำหรับการกระจายเสียงวิทยุในปี 1912

ขอขอบคุณ http://writer.dek-d.com/Writer/story/viewlongc.php?id=373655&chapter=410
                http://www.google.com

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • Twitter
  • RSS

บิกินี่ชุดแรกของโลก


บิกินี่ ชุดแรกในโลก

     First bikini เกิดขึ้นไกล้เคียงกันโดยชาวฝรั่งเศส 2 คน เป็นผู้ออกแบบ ในปี พ.ศ. 2489 คนแรกเป็นวิศวกร ชื่อ ชาคส์ ไอม์ ( Jacques Heim) เขาตั้งชื่อชุดว่ายน้ำจิ๋วของชิ้นนี้ว่า อะตอม (Atom) ซึ่งมีความหมายถึงสิ่งเล็กๆ และเขาประกาศออกไปว่า นี้คือ ชุดว่ายน้ำที่เล็กที่สุด  ต่อมาในปีเดียวกัน หลุยส์ รีร์ (Louis Reard) ดีไชน์เนอร์ได้ออกแบบชุดว่ายน้ำตัวจิ๋ว ของชิ้นมาอีกชุดหนึ่ง และในช่วงนั้นมีการทดลองระเบิดนิวเครียร์ที่เกาะบิกินี่ ซึ่งเป็นเล็กๆ ทางทิศตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก เขาจึงเกาะกระแสเรื่องนี้โดยตั้งชื่อเจ้าชุดว่ายน้ำจิ๋วนี้ว่า Bikini Atol คนเราจึงเรียกติดปากว่า บิกินี่ และวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2489 มีงานแฟชั่นโชว์ในกรุงปารีส แต่ปัญหาก็เกิดขึ้น เนื่องจากไม่มีนางแบบคนไหนกล้าสวมใส่ ชุดบิกินี่ เนื่องจากมันมีขนาดเล็กมาก ซึ่งในยุคนั้นถือว่าโป๊ มาก หลุยส์ รีร์ จึงแก้ปัญหาโดยการ ให้นักเต้นระบำเปลื้องผ้า จากคาสิโน Casino de Paris ชื่อว่า Micheline Bernardini อายุ 19 ปี แต่ชุดบิกินี่ ไม่ได้รับความนิยม เนื่องจากมันโป๊ มาก
คนออกแบบ ชุดบิกินี่ คนแรก ระเบิด ที่เป็นที่มาชุด บิกินี่
รูปบนดีไชน์เนอร์ หลุยส์ รีร์ (Louis Reard) รูปล่างการทดลองระเบิดระเบิดนิวเครียร์ที่เกาะบิกินี่ เมื่อปี 1946

 
 
ข้อมูลอ้างอิง
  • http://www.mostlyposters.com/product/id/101905/Atomic-Bomb
  • http://vintage-swimsuits.blogspot.com/2009/02/micheline-bernardini-wearing-first.html
  • http://www.travelthaimagazine.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&Category=travelthaimagazinecom&thispage=1&No=1234626

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • Twitter
  • RSS

เครื่องบินลำแรกของโลก

การบินอยู่บนท้องฟ้าถือว่าเป็น ความใฝ่ฝันอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ และเป็นเวลาหลายศตวรรษที่มนุษย์หาวิธีที่จะบินให้ได้  เมื่อพูดถึงประวัติของเครื่องบินสำหรับมนุษย์ชาติของเรานั้น มีมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ ได้มีตำนานเกี่ยวกับ สองพ่อลูกอิคารัสและเดดาลัส (Icarus & Daedalus) ได้ถูกกษัตริย์มินอสแห่งเกาะครีทไล่ล่าฐานกบฏ ทั้งสองจึงคิดหนีจากเกาะ และด้วยความช่างสังเกตุของเดดาลัสที่ได้คอยสังเกตุนกมานาน ได้เก็บเอาขนของนกมามากมายแล้วทำการต่อกันด้วยขี้ผึ้งทำเป็นปีกเช่นเดียวกับ นก 2 อัน แล้วยกให้ลูกอันนึงแต่ก่อนบินนั้นเดดาลัสเตือนว่าอย่าบินสูงเกินไป แต่อิคารัสลืมในข้อนี้ เมื่อบินไปสูงมากๆเข้าแสงของดวงอาทิตย์ก็ทำให้ขี้ผึ้งละลาย อิคารัสจึงตกลงมาตาย
                                          
ต่อมาในปี ค.ศ.1483 จิตรกรและนักวิทยาศาสตร์เอกของโลกเลโอนาร์โด ได้ริเริ่มการบินขึ้นเป็นครั้งแรก โดยการใช้ปีกนกขนาดใหญ่เรียกว่า Flying Machine ที่เขาประดิษฐ์ขึ้น ติดเข้ากับแขน และร่อนลงมาจากที่สูง ซึ่งทำให้ลูกศิษย์ของเขา ผู้ที่ทำการทดลองบินต้องตกลงมาขาหัก และยังเสนอข้อคิดเห็นที่เป็นจุดเริ่มต้นของเครื่องบินด้วยอีกว่า "คนเราจะบินได้ ต้องอาศัยMachineช่วยเท่านั้น"

ต่อมาราวๆ ค.ศ. 1800 เซอร์ จอร์จ คาร์เลย์ (Sir George Cayley) ได้มีแนวคิดที่ว่าการที่จะบินได้นั้นจะต้องมีแรงยก จึงได้สร้างเครื่องร่อนที่มีปีกลักษณะโค้งๆแล้วทำการออกร่อน ปรากฎว่าสามารถร่อนได้ หลังจากนั้นก็ได้มีนักประดิษฐ์อีกหลายท่านได้นำเอาแบบแปลนเครื่องร่อนนั้นมา พัฒนาต่อ มีทั้งประสพความสำเร็จและล้มเหลว ทำให้ข้อมูลการทำเครื่องร่อนนั้นมีความถูกต้องมากยิ่งขึ้น
                                     
ต่อมาในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1903 ที่เนิน Kill Devil Hill พี่น้องตระกูลไรท์ ได้นำเครื่องร่อนที่มีการใส่เครื่องยนต์ขนาด 12 แรงม้าเป็นตัวช่วยขับเคลื่อนมาทดลองบินได้เป็นผลสำเร็จ โดยสามารถบินได้ไกล 120 ฟุต เครื่องบินลำนั้นได้ถูกเรียกว่า Flyer
                                         



    สองพี่น้องตระกูลไรท์ประกอบไปด้วย วิลเบอร์ ไรท์ เกิดเมื่อวันที่ 16 เมษายน ค.ศ.1867 ที่เมืองมิลล์ วิลลี่ มลรัฐอินเดียนา ประเทศสหรัฐอเมริกา และออร์วิล ไรท์ เกิดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ.1871 ที่เมืองเดยตัน มลรัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา  เช่นเดียวกัน บิดาของเขาเป็นนักบวชชื่อว่า มิลตัน ไรท์ (Milton Writhe) ส่วนมารดาชื่อว่า ซูซาน ไรท์ (Susan Writhe)  ทั้งสองได้รับการศึกษาเพียงแค่ชั้นมัธยมเท่านั้น หลังจากออกจากโรงเรียนแล้ววิลเบอร์ได้เปิดโรงพิมพ์ และร้านซ่อมจักรยานขึ้นที่ เมืองเดย์ตัน รัฐโอไฮโอ และเมื่อออร์วิลเรียนจบก็ได้มาทำงานในร้านซ่อมจักรยานของวิลเบอร์ ทั้งสองมีความใฝ่ฝันที่จะบินอยู่ตลอด
 
    เวลาต่อมามีข่าวการทดลองเครื่องร่อนในเยอรมนี ของลิเลียนธาล แต่การบินครั้งนั้นไม่ประสบความสำเร็จ และทำให้ลิเลียนธาล ต้องเสียชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสองก็ยังมีความสนใจเรื่องการบินต่อไป  ทั้งสองได้เขียนจดหมายไปยังสถาบันสมิทโซเนียนเพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับการบิน ก่อนที่ทั้งสองจะตัดสินใจสร้างเครื่องบิน เขาได้ร่วมมือกันประดิษฐ์รถจักรยานที่มีปีกขนาดใหญ่ รวมถึงเครื่องยนต์ขึ้นเพื่อทดสอบการบินขั้นแรกจากการศึกษาเรื่องการบิน มาพอสมควร 

    ในปี ค.ศ.1900 ทั้งสองจึงตัดสินใจสร้างเครื่องบินลำแรกขึ้น โดยเครื่องบินของเขามีลักษณะคล้ายกับเครื่องร่อน ทำด้วยโครงเหล็ก ส่วนปีกทำด้วยผ้า และใช้เครื่องยนต์ขนาด 12 แรงม้า ทั้งสองได้นำเครื่องบินทดลองบินระยะสั้น ๆ เพียง 1-2 นาที เท่านั้น อีกทั้งยังไม่สามารถควบคุมทิศทางการบินได้ ต่อมาทั้งสองได้เดินทางกลับไปที่เมืองเดย์ตัน เพื่อสร้างเครื่องบินลำที่ 2 ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเดิม และมีรูปร่างที่เปลี่ยนไป เมื่อสำเร็จเขาได้นำไปทดลองบินเช่นเคย แต่ก็ยังมีข้อบกพร่องอีกหลายอย่าง คือ เครื่องบินมีขนาดใหญ่ไป ทำให้มีน้ำหนักมากไม่สามารถขึ้นบินได้ ทั้งสองพยายามปรับปรุงข้อบกพร่องทั้งหลายที่มีอยู่ เขาสร้างเครื่องบินขึ้นอีกหลายลำ แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งเขาเริ่มรู้สึกท้อแท้ แต่ก็ยังทำการค้นคว้าต่อไปในปี ค.ศ.1902 ทั้งสองได้สร้างอุโมงค์ลมขึ้นตามคำแนะนำของออคตาฟ ชานุท ซึ่งเป็นผู้ให้ความรู้เกี่ยวกับความกดอากาศ ทั้งสองได้นำการทดลองภายในอุโมงค์ลมมาปรับปรุงเครื่องบิน ทั้งสองได้เพิ่มหางเสือเข้าทางด้านหน้า และด้านหลังของตัวเครื่อง เพื่อควบคุมทิศทางการบิน ปีกของเครื่องบินเป็นปีก 2 ชั้น ขนาดประมาณ 32 ฟุต สามารถขยับขึ้นลงได้ เขานำเครื่องบินลำที่ 3 ทดลองขึ้นบินที่คิลล์ เดฟวิลล์ ฮิลล์ ทั้งสองได้ทดลองบินอยู่นานถึง 39 วัน และทดลองบินกว่า 1,000 ครั้ง ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
ในการควบคุมทิศทางของเครื่องบิน และระยะเวลาที่เครื่องบินอยู่บนอากาศ ต่อมาทั้งสองได้ปรับปรุงเครื่องยนต์ให้มีน้ำหนักเบาขึ้น เพื่อให้บินอยู่ในอากาศได้นาน และสูงขึ้น ทั้งสองได้ติดต่อบริษัทผลิตเครื่องยนต์ที่มีขนาด 8 แรงม้า และมีน้ำหนักประมาณ 160 ปอนด์ แต่ไม่มีบริษัทใดสนใจเลย ดังนั้นทั้งสองจึงลงมือประดิษฐ์เครื่องยนต์ขึ้นด้วยตนเอง เครื่องยนต์ที่ทั้งสองทำขึ้นมีขนาด 12 - 16 แรงม้า น้ำหนัก 170 ปอนด์ ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1903 ทั้งสองได้นำเครื่องบินทดลองที่มีขนาดลำตัวยาว 21 ฟุต สูง 10 ฟุต ส่วนปีกมีความยาว 40 ฟุต 4 นิ้ว น้ำหนักรวมประมาณ 605 ปอนด์ แต่ก็ต้องประสบปัญหาเพราะสภาพอากาศไม่ดี ทำให้ทั้งสองมีความคิดว่า เครื่องบินของเขาต้องมีล้อเพื่อขึ้นบินได้โดยไม่ต้องอาศัยลมฟ้าอากาศ นอกจากนี้ทั้งสองยังได้สร้างทางวิ่งขึ้นของเครื่องบิน (Run Way) ความยาว 600 เมตร ขึ้น และทำการทดลองบินในวันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ.1903 แม้ว่าจะมีล้อ แต่ก็ยังต้องใช้คนผลักอยู่ดี 

    ดังนั้นเครื่องบินของทั้งสองจึงต้องปรับปรุงอีกครั้ง โดยครั้งนี้เครื่องบินของพวกเขามีล้อของรถบรรทุก ที่เชื่อมต่อด้วยโซ่เข้ากับเฟืองของเครื่องยนต์ ทำให้สามารถวิ่งขึ้นได้เองโดยไม่ต้องอาศัยแรงลมหรือแรงคนผลัก เขาได้ทดลองขึ้นบินวันที่ 14 ธันวาคมปีเดียวกันที่รัฐนอร์ท คาโรไลนา (North Carolina) โดยมีวิลเบอร์เป็นคนขับเครื่องบินแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งสองจึงทำการทดลองขึ้นบินอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ.1903 โดยมีออร์วิลเป็นผู้ขับเครื่องบิน ซึ่งครั้งนี้ประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดีสามารถบินอยู่ในอากาศได้นานถึง 15 วินาที และบินได้ไกลถึง 200 ฟุต สูงจากพื้นดิน 850 ฟุต เขาได้พัฒนาเครื่องบินจนสามารถบินได้ 59 วินาที และไกล 852 ฟุต ความเร็วในการบิน 31 ไมล์ ทั้งสองได้นำเครื่องบินไปจดสิทธิบัตร และได้พัฒนาเครื่องบินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในปี ค.ศ.1908 ทั้งสองได้สร้างเครื่องบินที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นสำเร็จ โดยเครื่องบินลำนี้มีความยาว 28 ฟุต ความยาวปีก 40 ฟุต น้ำหนัก 322 ปอนด์ ใช้เครื่องยนต์ 20 แรงม้า สามารถบินได้เร็ว 56 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีที่นั่งสำหรับผู้โดยสารอีก 1 ที่นั่ง นับว่า
กิจการบินมีความเจริญก้าวหน้าไปอีกก้าวหนึ่ง ในปีเดียวกันนี้วิลเบอร์ได้ทดลองบินข้ามทวีปไปยัประเทศฝรั่งเศสได้สำเร็จ และในปี ค.ศ.1909 ออร์วิลได้บินข้ามช่องแคบอังกฤษได้สำเร็จ
         
    วิลเบอร์เสียชีวิตในวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ.1912 ด้วยโรคไทฟอยด์ ส่วนออร์วิลเสียชีวิตในวันที่ 30 มกราคม ค.ศ.1948 ทั้งสองเสียชีวิตที่เมืองเดย์ตัน มลรัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา




ข้อมูลจาก http://www.bloggang.com
               http://siweb.dss.go.th/Scientist/Scientist/Wright%20brother.html
        http://www.nsm.or.th/modules.php?name=News&file=article&sid=56

ขอขอบคุณ http://learners.in.th/blog/kahkar/278005 
         http://www.school.net.th/schoolnet/article/articles_member_read.php?article_id=320

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • Twitter
  • RSS

รถยนต์คันแรกของโลก

Benz Patent Motor Wagen : รถคันแรกของโลกมี 3 ล้อ!!




Benz นำเครื่องยนต์หนึ่งแรงม้ามาใส่ในจักรยาน?เป็นหัวข้อข่าวในหนังสือพิมพ์ Neue Badische Landeszeitung(หนังสือพิมพ์ที่จำหน่ายในแคว้น Baden ทางตอนใต้ของเยอรมนี)ฉบับวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 1886 บทความดังกล่าวเขียนไว้ว่า

     มันได้เรียกความ สนใจอย่างมากจากเพื่อน ๆ ที่ยังคงใช้รถจักรยานสองล้ออยู่ ยิ่งได้รู้ว่าสิ่งที่กำลังจะเป็นก้าวย่างที่ยิ่งใหญ่นี้เป็นสิ่งประดิษฐ์ ใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นโดย Benz & Cie. บริษัทในท้องถิ่นที่เป็นผู้ผลิตจักรยานแบบสามล้อ ซึ่งต่อมาได้พัฒนาให้เป็นบริษัทที่ทำการผลิตเครื่องยนต์เบนซิน เครื่องยนต์นี้มีกระบอกสูบเพียง 9 เซนติเมตรและถูกติดตั้งไว้บนขดสปริงเหนือเพลาระหว่างสองล้อหลัง ผลิตกำลังได้เกือบ ๆ จะหนึ่งแรงม้า รอบเครื่องยนต์หมุน 300 รอบภายในหนึ่งนาที รูปร่างของรถคันนี้ก็ไม่ได้แตกต่างหรือใหญ่โตกว่ารถจักรยานแบบสามล้อทั่วไป อย่างไรก็ตามจากรูปลักษณ์ก็ดูคล่องแคล่วไม่ใช้น้อย และสร้างความประทับใจเมื่อแรกเห็นเป็นอย่างมาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะได้รับความนิยมอย่างมากต่อไปรวมไปถึงการปรับปรุงให้ ใช้งานได้อย่างยอดเยี่ยมและจะเป็นประโยชน์ในการใช้งานสำหรับแพทย์, นักเดินทาง, นักกีฬาและอื่น ๆ อีกมากมายในอนาคตอันใกล้



    โดยตัวของผู้เขียนบทความกล่าวดังกล่าวน่าจะเป็นพวกผู้ชื่นชอบกีฬาที่ต้องใช้ ยาน พาหนะเป็นส่วนประกอบ เพราะกีฬาที่อาศัยการหมุนของล้อกลม ๆ เป็นที่นิยมอย่างมากในช่วงเวลานั้น อย่างไรก็ตามเขาก็เป็นบุคคลที่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลไม่ใช่น้อยเพระเขามี ความเชื่อมั่นและมีโอกาสสัมผัสกับความพิเศษของยานพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์ น้ำหนักเบาและเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ขณะนั้น ในวันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ.1886 นักข่าวคนเดียวกันได้รายงานไว้ว่า?เครื่องยนต์เบนซินที่ออกแบบและผลิตโดย Rheinische Gasmotorenfabril Benz & Cie. ซึ่งเป็นหัวข้อข่าวไปเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนถูกทดสอบเช้าวันนี้ที่ Ringstrbe และผลการทดสอบเป็นที่น่าพึงพอใจอย่างมาก

    เบนซ์มีงานอดิเรกที่ชื่นชอบจักรยานมาก ดังนั้นงานอดิเรกชิ้นนี้จึงได้นำพาเขาไปรู้จักกับเจ้าของร้านซ่อมจักรยานใน เมืองมานน์ไฮม์ คือ Max Rose และ Friedrich Wilhelm Eßlinger ซึ่งในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1883 คาร์ล เบนซ์ ร่วมกับหุ้นส่วนอีก 2 คน คือ Max Rose และ Friedrich Wilhelm Eßlinger ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทใหม่ที่ผลิตเครื่องจักรทางอุตสาหกรรมที่ชื่อ Benz & Company Rheinische Gasmotoren-Fabrik ขึ้นที่เมืองมานน์ไฮม์ ซึ่งมักเป็นที่รู้จักกันสั้นๆ ว่า Benz & Cie และบริษัทนี้ก็ได้เติบโตอย่างรวดเร็ว มีพนักงานทั้งสิ้น 25 คน และต่อมาไม่นานก็ผลิตเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน

    การตั้งบริษัทใหม่เปิดโอกาสให้เบนซ์ได้สานต่อความฝันที่จะสร้างยานพาหนะที่สามารถเคลื่อนที่ไปได้โดยปราศจากม้าลาก และในช่วงเวลาเดียวกันกับที่เดมเลอร์สร้างเครื่องยนต์ที่ไปใช้กับทั้งจักรยานยนต์และรถยนต์ที่มี 4 ล้อเป็นครั้งแรก คาร์ล เบนซ์ ก็กำลังอยู่ในช่วงเวลาของการพัฒนารถยนต์ 3 ล้อ ซึ่งต่อมาได้รับการรับรองว่าเป็น "รถยนต์" ที่ แท้จริงคันแรกปรากฏต่อสาธารณชน จากประสบการณ์และความชื่นชอบในจักรยาน เขาใช้เทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันกับการสร้างจักรยานเพื่อสร้างรถยนต์ที่มี เครื่องยนต์ 4 จังหวะที่ออกแบบให้อยู่ระหว่างล้อหลังทั้งสองล้อ โดยเขาได้ทดลองใช้กับรถสามล้อนับเป็นรถยนตร์ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในคันแรกของโลก รถ 3 ล้อ ของเบนซ์ เป็นรถยนตร์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงเพื่อขับเคลื่อนเครื่องยนต์ เขาสร้างเจ้าสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้เสร็จสิ้นในปี ค.ศ. 1885 และเรียกมันว่า “Benz Patent Motorwagen” ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่า รถยนตร์อย่างแท้จริง ดังนั้น จึงมีหลายคนถือว่า คาร์ล เบนซ์ เป็นผู้คิดค้นรถยนตร์ได้เป็นผลสำเร็จ และรถยนตร์คันแรกของโลกซึ่งมี 3 ล้อ

    Motorwagen ในปี ค.ศ. 1885 ดูจะสร้างความตื่นเต้นให้กับสาธารณชน การทดสอบรถนั้นดึงดูดผู้เห็นเหตุการณ์ให้เข้ามารุมหัวเราะและล้อเลียนรถ ยนตร์ของเขา เมื่อมันชนโครมกับกำแพง เพราะการทดลองใช้ช่วงแรกๆ นั้นยังมีปัญหาเรื่องการควบคุมรถ และเจ้า Motorwagen ได้รับการจดสิทธิบัตรเมื่อวันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 1886 และได้จดทะเบียนสิทธิบัตรหมายเลข DRP no. 37435 ที่ออกให้โดยสำนักงาน Imperial Patent Office สิทธิบัตรฉบับนี้ก็คือ สูติบัตรของรถที่คาร์ล เบนซ์ เป็นผู้ให้กำเนิดนั่นเอง

    เบนซ์ได้พัฒนายนตรกรรมคันแรกของโลกที่ผลิตภายใต้แนวคิดแบบองค์รวม โดยมีการนำตัวยานพาหนะ และ เครื่องยนต์มาผสมผสานเข้าไว้ด้วยกันเพื่อสร้างระบบเครื่องจักรกลอันมี ประสิทธิภาพที่น่าทึ่งขึ้นเป็นครั้งแรก น้ำหนักโดยรวมของรถอยู่ที่ต่ำกว่า 300 กิโลกรัม เฉพาะเครื่องยนต์อย่างเดียวก็หนักเกินกว่า 100 กิโลกรัม จึงทำให้ยนตรกรรมจากเบนซ์คันนี้มีน้ำหนักเบาเป็นอย่างมาก ระบบขับเคลื่อนก็มีความทันสมัยอย่างยิ่งในขณะนั้น ด้วยห้องเผาไหม้เชื้อเพลิงภายในของเครื่องยนต์เป็นแบบสูบเดียว 4 จังหวะที่ติดตั้งในแนวนอนช่วยสร้างศักยภาพในการระบายความร้อนตามแบบ Thermosyphon และระบบการหล่อลื่นในแบบ drip lubrication

    โครงสร้างของตัวถังทำจากเหล็กที่ตัดเชื่อมให้โค้งงอเข้ารูป และด้วยเหตุที่เป็นรถยนตร์ที่ขับเคลื่อนล้อหลังในกรณีเช่นที่ต้องเข็นรถจากทางด้านหลัง เบนซ์เกรงว่าจะเกิดปัญหาให้กับระบบพวงมาลัยซึ่งมีระบบที่แตกต่างไปจากยานพาหนะที่ใช้กันอยู่ในขณะนั้น เขาจึงตัดสินใจให้รถยนตร์คันแรกของมีเพียงสามล้อเท่านั้น โดยที่ล้อหน้าติดตั้งในลักษณะเหมือนกับล้อรถจักรยานและควบคุมการเคลื่อนที่ด้วยแรงดึงจากเฟืองซึ่งเชื่อมต่อกับข้อเหวี่ยง

    เบนซ์ได้ผลิตล้อแบบซี่ลวดและยางตันด้วยตัวของเขาเองมีเพียงขอบล้อเท่านั้นที่เป็นแบบ outsourced ล้อหน้าทำงานด้วยลูกปืนล้อส่วนล้อหลังมีปลอกทำด้วยดีบุกหุ้มป้องกันการเสียดสี ขับ เคลื่อนด้วยโซ่ที่อยู่ด้านซ้ายและขวาขับเคลื่อนเพลาถ่วงดุลน้ำหนักเบาที่ล้อ หลัง ซึ่งจะส่งผลต่อตัวรถเช่นเดียวกับเพลาหลังแบบแข็งและสปริงรูปไข่
   
    รถยนต์คันแรกของโลกมีเพียงเกียร์เดียวและไม่มีเกียร์ถอยหลัง ความเร็วที่ใช้ในการขับเคลื่อนได้มาจากเพลาถ่วงดุลที่ประกอบด้วยจานขับตัวหลักและเฟืองขับพร้อมทั้งตัวควบคุมรอบเดินเบา ลิ้นเปิดปิดควบคุมการทำงานระหว่างเครื่องยนต์กับเพลาถ่วงดุลทำหน้าที่เช่นเดียวกับคลัทช์ การสตาร์ทเครื่องยนต์ทำโดยหมุนสายพานที่อยู่ระหว่างจานที่ควบคุมรอบเดินเบากับจานขับหลัก ความเร็วที่ใช้ขึ้นอยู่กับการควบคุมของปลอกลูกเลื่อนที่อยู่ใต้เบาะที่นั่งคนขับ

    และในปีถัดมาเบนซ์ก็สร้าง Motorwagen Model 2 ที่ได้รับการปรับปรุงหลายอย่าง และในปี ค.ศ. 1887 Model 3 ที่ สมบูรณ์แบบขั้นสุดท้ายที่มีล้อทำจากไม้ก็เผยแพร่สู่สาธารณชน เบนซ์มีความภูมิใจกับรถรุ่นที่ 3 มาก ถึงกับโฆษณาถึงรุ่นนี้ว่าเป็นรถยนตร์ที่นั่งสะดวกสบาย และเป็นรถที่มีสมรรถนะที่สามารถขึ้นเขาได้ รถถูกออกแบบให้มีทรงกระทัดรัดแบบ 3 ล้อที่เบนซ์ออกแบบมาเพื่อความประหยัด โดยละเว้นสิ่งตกแต่งที่สวยงาม สมัยก่อนรถยนต์ยุคแรกๆ จะแสดงให้เห็นชิ้นส่วนและการทำงานภายใน แต่ต่อมาเบนซ์ได้ออกแบบตัวถังให้ปกปิดส่วนต่างๆ ให้มิดชิดขึ้น มีล้อ 4 ล้อ ที่ถูกออกแบบมาเป็นแนวตั้งตรง เพราะผู้สร้างคิดว่าแนวตรงนี้ จะทำให้รถเลี้ยวด้วยความมั่นใจและปลอดภัยในการเกาะถนนและการทรงตัว




รถคันนี้โชว์อยู่ในพิพิธภัณฑ์ เมอร์เซเดส- เบนซ์ ณ เมืองสตุ๊ตต์การ์ตขณะนี้นั้นเป็นแบบจำลองจากของจริงที่ คาร์ล เบนซ์ผลิต เพราะเขาได้อุทิศให้กับพิพิธภัณฑ์แห่งชาติในเมืองมิวนิค เมื่อปี 1906

       
ปีที่ผลิต          1886
กำลังเครื่องยนต์    0.55 กิโลวัตต์ (0.75 แรงม้า) ที่ 400 รอบต่อนาที
ความจุกระบอกสูบ   954 cc
ช่วงชักกระบอกสูบ   91.4 x 150 มิลลิเมตร
ความเร็วสูงสุด     15 กิโลเมตร/ชั่วโมง
น้ำหนัก          265 กิโลกรัม



ขอขอบคุณ http://www.thainn.com/blog.php?m=jeab101&d=8414
         http://www.vikrom.net

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • Twitter
  • RSS

รถมอเตอร์ไซค์คันแรกของโลก








Aug. 30 1885 นาย Gottlieb Daimler ได้สร้างรถมอเตอร์ไซค์ คันแรกในโลก
ข้อมูล มอเตอร์ไซค์ คันแรกในโลก

  • รถมอเตอร์ไซค์ คันนี้มีชื่อว่า "Reitwagen" เป็นภาษาเยอรมัน แปลว่า "riding car" หรือ รถขี่
  • เครื่องยนต์สันดาษภายใน แบบหนึ่งสูบ สี่จังหวะ ที่เรียกว่า Otto-cycle engine
  • เครื่องยนต์มีความเร็วรอบ 264 ccm
  • เครื่อง ยนต์มีกำลัง 0.5 แรงม้า
  • ทำความเร็วสูงสุดได้ 12 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง
  • ตัวโครงรถทำจากไม้
  • รถหนัก 90 กิโลกรัม
  • มี ล้อมหน้า และหลังขนาด 1030 มิลลิเมตร

เรื่อง จากรูป ด้านบน รถมอเตอร์ไซค์คันนี้เป็นคันจำลองที่ จัดแสดงอยู่ที่ Museum of the Daimler-Benz AG เนื่องจากคันจริงถูกเผาไปในโรงงานที่ Cannstatt plant เมื่อปี 1903



         


รูปภาพซ้าย นาย Gottlieb Daimler รูปภาพขวา Reitwagen รถมอเตอร์ไซค์คันแรก

ในโลกคันจริงที่โรงงาน Cannstatt Plant



ขอขอบคุณ http://wowboom.blogspot.com/2009/04/first-motorbike.html

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • Twitter
  • RSS
ขับเคลื่อนโดย Blogger.